ธรรมมะอยู่ในตัวเรา
*******
พอพูดถึงเรื่องธรรมะ
เรื่องการปฏิบัติธรรมหลายคนก็จะมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว และเป็นเรื่องที่ยุ่งยากลำบากมาก
นี่คือความคิดผิด
และผิดอย่างมหันต์
เพราะในความเป็นจริงธรรมะก็อยู่กับกาย
และ ใจ ของเรานี่เอง ไม่ต้องไปวิ่งเร่หาที่ไหน..ไม่ต้องไปอุ้มพระ
แบกเจดีย์มาไว้ที่บ้านเพื่อทำการกราบไหว้หรือช่วยในการปฏิบัติ
ดังนั้นการศึกษาธรรมมะ
คือ การศึกษา กาย-ใจ ของเรา..เป็นการสร้างความรู้จักในตัวของเรานี่เอง
สรุปธรรมะคือ
วิชารู้จักตัวเอง ชัดที่สุด!
เอาเป็นว่า..ตั้งแต่ตื่นจนหลับในวันๆ..เราไม่เคยคิดถึงตัวเอง
แต่กลับไปคิดถึงคนอื่น คิดถึงคนที่รัก คนที่เกลียด เจ้าหนี้ ลูกหนี้ ไปคิดหวังดี-หวังร้ายกับผู้คนต่างๆ
เที่ยวอาฆาตพยาบาทเกลียดชัง กับคนโน้น-คนนี้มาตลอด
คือมีแต่มองออกไปนอกตัว
แต่ไม่เคยมองย้อนกลับมาดูตัวเอง มันเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เริ่มจำความได้
พระพุทธองค์
ทรงเป็นผู้สัพพัญญู คือรู้ทุกอย่างในโลก..และ อกาลิโก ไม่จำกัดเวลา
แม้จะผ่านมาสองพันกว่าปี และ จะต่อไปอีกกี่หมื่นกี่แสนปี คำสอนของพระองค์จะเป็น”สัจจะธรรม”ยั่งยืน
คงทนเช่นนี้ไม่เปลี่ยนแปลง
พระองค์ทรงรู้ว่า
ร่างกายเรานี้แบ่งเป็นห้าส่วน เรียกว่า ขันธ์ห้า มี รูป เวทนา สัญญา สังขาร และ
วิญญาณ.. คือ มีสิ่งที่เห็นได้หนึ่งส่วน และ สิ่งที่เห็นไม่ได้อีกสี่ส่วน
สิ่งที่เห็นได้เรียกว่า”รูป”
กับสิ่งที่เห็นไม่ได้เรียกว่า”นาม”..หรือ”กาย”กับ”ใจ” ..กายเห็นได้
ใจเห็นไม่ได้นั่นเอง
ถึงได้บอกว่าร่างกายเรานี้แหละคือโรงเรียนสอน
ธรรมะ ..เราเรียนธรรมะ ก็เรียนจาก กาย-ใจ เราตรงนี้
ไม่ยุ่งยากไม่ลำบาก
ไม่ต้องถ่อสังขาร ไปถึงไหน-ถึงไหน
บางคนบอกว่า
“ชีวิตฉันก็สุขดีอยู่แล้ว” มีพร้อมทุกอย่างจะต้องศึกษาไปทำไม?
ถ้าหากว่ามัน”สุข”อย่างนี้จนเป็น”อมตะ”
โดยที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปได้เลย ก็ไม่ว่ากันจะอยู่อย่างไร จะใช้คำพูดอย่างไรก็ย่อมได้
แต่..นี่มันไม่ใช่..เพราะร่างกายเรานี้
มันเปลี่ยนแปลงไปทุกปี ทุกเดือน ทุกวัน ทุกนาที
ทุกวินาที..จากหนังที่เคยเต่งตึงก็เหี่ยวย่น ผมที่เคยดกดำก็ขาวโพลน ฟันโยกหลุดไป
หู-ตา ฝ้าฟาง นี่คือ”อนิจจัง”คือ ความไม่เที่ยง คือความเปลี่ยนแปรที่ไม่มีวันหยุด
มีขึ้นกับทุกคน
ไม่เว้นกับใครทั้งสิ้น..และในที่สุดก็ต้องมาถึงจุดอันเดียวกันคือ”ความตาย” ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าตายแล้วจะไปไหน?
เราจะนอนรอความตายอยู่กระนั้นหรือ?
หรือจะไปตามเส้นทางที่
พระพุทธเจ้าได้ทรงชี้ทางบอกไว้ให้ ครับ พื้นฐานง่ายๆคือทำ อานาปานสติ
อานาปานสติ
คือ การตามดูลมหายใจเข้า-ออก ของเรานี่แหละ รู้ตามความเป็นจริง หายใจเข้ายาว
ก็รู้ว่ายาว..ออกยาวก็รู้ว่าออกยาว..หายใจเข้าสั้นก็รู้ว่า เข้าสั้น..หายใจออกสั้น
ก็รู้ว่าออกสั้น
เอาตามความเป็นจริง..จิต
หรือ มโน หรือ วิญญาณ อันเดียวกันนี้ทำบ่อยๆ ทำเรื่อยๆ
ทำให้มันเกาะเกี่ยวกับอยู่กับลมหายใจให้มากที่สุด
ลมหายใจเข้า-ออกที่เรารู้อยู่นั้น
พระองค์บอกว่านี้คือ “กายคตาสติ” (อ่านว่า กายะคะตาสติ)เป็น
กาย-กายหนึ่งของเราด้วย
ไอ้ตรงที่รู้นี่ละครับคือตัว”สติ”..เมื่อสติมา
เค้าก็พาพี่น้องฝาแฝดตามมาด้วย คือ ตัว”ไม่ประมาท”ติดกันมาเลย
เมื่อสติเกิดอาการ
เดินชนรั้ว สะดุดล้ม ตกหลุมก็ไม่มี..ขับรถก็ปลอดภัย เพราะอยู่ด้วยสมาธิ(จิตตั้งมั่น)ตลอด
ช่วงสุดท้ายเมื่อความตายของชีวิตมาถึง
จิตเรายังผูกกับลมหายใจคือมีสติรู้ตัวตลอด..พระพุทธองค์การันตีให้เลย ว่าทางนี้ไป”สุขคติภูมิ”
ไม่ไป”อบายภูมิ” แน่นอน
พระศาสดาทรงกล่าวไว้ว่า
อันชนเหล่าใดไม่หลงลืม”กายคตาสติ” ชนเหล่านั้นเชื่อว่า ไม่หลงลืม “อมตะ”
(อีกชื่อของนิพพาน)
เราเชื่อบริษัทประกันชีวิตก็ได้แค่ค่าทำศพ..และก็ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน?..
เพราะการที่นอนรอความตายอยู่เฉยๆนั้นตัวกิเลส (โลภ โกรธ หลง)มันจะกระจุกฝังแน่นอยู่ในหัวใจ
เพราะเราไม่มีธรรมะมาเป็นเครื่องกั้น ตรงนี้แหละที่จะส่งให้เราไปสู่ นรก เดรัจฉาน
เปรตวิสัย อย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น
แต่ถ้า
เชื่อพระพุทธเจ้า ได้ประกันไว้กับพระองค์..ส่งถึงสวรรค์ ชัวร์ครับ พี่น้อง
พุทธังสรณังคัจฉามิ
*******
เครดิตภาพจาก
GOOGLE
Blogger Comment
Facebook Comment