เวลาแห่งชีวิตเหลือน้อย
******
สัตว์ทั้งหลายเมื่อเริ่มต้นมีชีวิตเกิดขึ้นมาแล้ว
มีแต่จะบ่ายหน้าไปสู่ความแก่ ความตายท่าเดียวและถือว่า ความแก่ และ
ความตายนี้แหละคือตัวทุกข์ที่หนีกันไม่พ้น
เจ้าชายสิทธัตถะจึงทรงทิ้ง
เหย้าเรือน ทิ้งอัครมหาสมบัติ เพื่อค้นหาเส้นทางดับทุกข์นี้ให้กับประชากรชาวโลกทั้งหลายมานานกว่าสองพันกว่าปี
ทรงต่อสู้
ทั้งมาร ทั้งกิเลส ที่คอยจ้องขัดขวาง..จนตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จสัมมาสัมพระพุทธเจ้าด้วยพระองค์เอง
--------------
ประสบการณ์ความจริงแห่งชีวิตบอกกับเราว่า..
ความตายมันวนเวียนอยู่ทุกหนแห่ง
ทุกเรื่องราว..ไม่ว่าจะนั่งรถ ลงเรือ หรือแม้แต่กินอาหารอยู่ก็ตายได้ไม่ก็เป็นโรคนั้น
โรคนี้ขึ้นมาปุ๊บปั๊บแล้วก็ตายได้ทุกเมื่อเช่นกัน
หรือแม้ว่าจะนอนอยู่บ้านเฉยๆ
ก็ยังไม่พ้นเงื้อมมือมัจจุราชไปได้ ดังนั้นเราจึงไม่ควรประมาทว่าตนยังเป็นหนุ่มเป็นสาวโดยที่คิดเอาว่าเรายังไม่ตาย
และไม่ถึงที่ตายง่ายๆดอก
ความตายนั้นมันมาได้ทุกเมื่อ
ทุกเวลา ทุกอิริยาบถ โดยที่มัจจุราชไม่มีการบอกล่วงหน้าให้เราได้รับรู้เสียด้วย
พระศาสดาทรงตรัสเกี่ยวกับความตายเป็นสิ่งที่เราจะรู้ล่วงหน้าไม่ได้
มีอยู่ ๕ ประการคือ
๑..ไม่รู้จะตายด้วยเหตุใด?
๒..ตายที่ไหน?
๓..ตายอย่างไร?
๔..ตายเมื่อด้วยอายุเท่าไหร่?
๕..เมื่อตายแล้วจะไปไหน?
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราไม่สามารถจะเลือกและรู้ได้..
นิพพาน หรือ
อมตะ (ชื่อเดียวกัน) จึงเป็นมรดกที่พระพุทธองค์ทรงประธานให้แก่ผู้ปฏิบัติธรรมทุกคนซึ่งมันมีค่ายิ่งกว่าทิพย์สมบัติทั้งปวง
ทั้งในเทวโลกและพรหมโลก
ผู้ใดที่ได้สัมผัสและปฏิบัติธรรมะแล้วก็จะมีจิตใจที่เบิกบานเบาสบายบนความไม่ยึดถืออะไร
เป็นสุขโดยที่ไม่ต้องอิงอาศัยสิ่งใดในโลก และไม่ต้องไปค้นหาที่ไหนหรอก เพราะธรรมะมีอยู่ในตัวของเรานี่เอง
เพียงแต่เราไม่เคยรู้และไม่เคยคิดจะรู้
หรือตั้งใจจะค้นหา..คือไม่มีครูบาอาจารย์คอยบอกและชี้ทางให้
แต่..เมื่อได้รู้แล้ว
ก็จับหลักปฏิบัติอย่างง่ายๆ
คือ..ตามรู้กาย
รู้ใจไปตามที่มันเป็นจริง ใช้การเจริญสติด้วยการทำ อานาปานสติ เป็นตัวนำชีวิตเราจะไม่เลื่อนลอย
มีหลักปักแน่นเป็นที่ยึดถือ..แม้ความตายมาเยือนก็จะไม่สะทก สะท้านสะเทือนและหวั่นไหว
อย่ารอช้าครับเพื่อน..เวลาเหลือน้อยกันเต็มทีแล้ว
ไขว่คว้าหาขุมทรัพย์ธรรมะของพระพุทธเจ้ามาป้องกันตัวเอง
ไม่ใช่เรื่องยากอันใดเลย
พุทธังสรณังคัจฉามิ
*******
เครดิตภาพจาก
GOOGLE
Blogger Comment
Facebook Comment