หลีกเลี่ยง
แก่-ตาย
*****
สิ่งที่ทุกชีวิตในโลกได้รับความเท่าเทียมกันคือ”ความตาย”ไม่มีใครจะหลีกเลี่ยงหรือหนีการตายนี้ไปได้..
พระพุทธองค์ได้ทรงเห็นว่าการแก่-การตาย
คือความทุกข์ดังนี้พระองค์จึงหาทางออกให้มนุษย์ด้วย”อริยะมรรค” คือเส้นทางแห่งการพ้นทุกข์
ถ้าดับชาติ(การเกิด)ได้
ชรา-มรณะ
(ความแก่-ตาย)ก็จะไม่มี..เป็นเรื่องที่น่าศึกษามากเลยครับกับธรรมะของพระพุทธเจ้า
ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาธรรมะของพระองค์
เวลาที่ความแก่มาเยือน ความตายจะมาถึงก็หวาดหวั่น วิตกเกิดความกลัวไปต่างๆนาๆ
แต่ผู้ที่ศึกษาและปฏิบัติมาอย่างดีจะไม่หวั่นไหว
แต่กลับจะยิ้มรับ เมื่อเวลานั้นเพราะมีความเตรียมพร้อม
มีผู้ที่ศึกษาเรื่องความตายคือ”ภาวะหลังการตาย”
และ “กระบวนการตาย”ได้กล่าวไว้เป็นสี่ขั้นตอนดังนี้.
.
ร่างกายของเราประกอบด้วยธาตุทั้งสี่
คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นะครับ
ระยะที่หนึ่งธาตุดินเริ่มขยายตัวกลายเป็นธาตุน้ำ
ผู้ไกล้ตายจะรู้สึกอ่อนระโหยไม่มีแรง คือมองอะไรก็ไม่ชัดมัวไปหมด
ระยะที่สอง
ธาตุน้ำจะกลายเป็นไฟ ช่วงนั้นน้ำในร่างกายจะแห้งลง จะเกิดความรู้สึกชาตื้อๆโดยไล่จากปลายเท้าขึ้นมา
ประสาทหูจะเริ่มไม่รับรู้คือไม่ได้ยินเสียงอะไร ใครจะมากระซิบพุทโธ หรือ
สัมมาอรหัง ก็จะไม่รู้เรื่อง
ระยะที่สาม
ธาตุไฟจะเปลี่ยนเป็นลม หูไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เกิดอาการหนาวจับใจ
ความรู้สึกหยุดหมด ลมหายใจอ่อนลง จมูกก็จะไม่ได้รับรู้กลิ่นด้วย
ระยะที่สี่
ธาตุลมจะเปลี่ยนเป็นอากาศธาตุ การหายใจหยุด พลังงานในร่างกายจะไหลกลับคืนไปสู่ระบบส่วนกลางทั้งหมด
ลิ้นแข็ง ความรู้สึกเหมือนแสงเทียนที่ลุกโพลงอยู่เท่านั้น สมองและระบบไหลเวียนต่างๆหยุดทำงาน.
ตรงนี้ที่แพทย์จะกล่าวว่า
ผู้ป่วย”ถึงแก่กรรมแล้ว” (Clinical
death)
แต่การตายตามแนวคิดแบบ”เซน”บอกว่า
การตายมีสองลักษณะ คือ”ตายอย่างปราศจากที่พึ่ง”และ”ตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง”
ผู้ที่ตายอย่างแรก
จิตใจจะกลัดกลุ้มยุ่งเหยิงเรียกว่า”จิตวิการ”
เกิดความปวดร้าวทรมานเพราะ”ยึดติด”..เรียกว่า”ไม่ยอมตายทั้งๆที่ต้องตาย”
คือดวงจิตยังติดข้องกับอุปาทาน ๔ (การยึดติด)
๑ ติดกับทรัพย์สินเงินทอง
๒ ห่วงใยในสิ่งที่เป็นรูป-นาม
เพราะมองเห็นว่าเป็นของเที่ยง
๓ มีนิวรณ์ คือความวุ่นวาย ฟุ้งซ่าน
๔ ไม่เชื่อและเพิกเฉยในคุณพระรัตนตรัย
การตายแบบนี้คือการตายอย่างอนาถา.
.
ส่วนการตายแบบที่สอง
คือการตายอย่างสมบูรณ์ด้วยที่พึ่ง เวลาที่ใกล้ตายจะมีอารมณ์ผ่องใส ไม่หวั่นไหวและซาบซึ้งในเส้นทางแห่งมรณกรรม
ด้วยยึดหลัก๔ประการ
๑
มีอารมณ์เฉยๆ ซาบซึ้งถึงกฎธรรมแห่งความตาย
๒
เคยเรียนรู้สภาพการสิ่งในโลกของความไม่เที่ยง ไม่เป็นแก่นสาร
๓
ระลึกถึงกุศลกรรมที่ได้ผ่านมาในชีวิต เกิดความปิติ
๔
ยึดมั่นในคุณของพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งตลอดเวลาจวบจนสิ้นลมหายใจ
นี่คือ..การแตกต่างในเรื่องของความตาย
ชีวิตนี้เรายังไม่สายขวนขวายศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า เถิดครับเพื่อนๆ
หาความมั่นใจ สุขใจให้กับตัวเองกับ ชีวิตที่มีเหลืออยู่ก็จะไม่มีความกลัวและไม่มีทุกข์แน่นอน
ความตายเป็นสิ่งที่จะรู้ล่วงหน้าไม่ได้ มีอยู่5 ประการคือ
ไม่รู้จะตายด้วยเหตุใด-ตายที่ไหน-ตายอย่างไร-ตายเมื่อด้วยอายุเท่าไหร่ และ
ตายแล้วจะไปไหน..ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่เราไม่สามารถจะเลือกได้..
นี่คือคำตรัสของพระศาสดา
ยามนี้..อะไรจะมาเป็นที่พึ่งของเราได้ดีเท่ากับ พระพุทธ พระธรรม
พระสงฆ์ครับ โดยเฉพาะที่เราเกิดมาเป็นคนไทยมีศาสนาพุทธเป็นศาสนาหลักของชาติ
พุทธังสรณังคัจฉามิ
*****
เครดิตภาพจาก GOOGLE
Blogger Comment
Facebook Comment