พรุ่งนี้แล้วสิ..
ที่ บิ๊กซี
ลาดพร้าว จะกลายเป็นที่พบปะสังสรรค์ของประดานักดนตรีทั้งหลาย..โดยที่ได้ “โม
กรีนแอ็ปเปิ้ล” เป็นผู้นำพาให้ได้มาพบกัน
กาลปรากฏว่า..มีนักดนตรีมากขึ้น
เพิ่มขึ้น จนเมื่อครั้งที่แล้ว รปภ.ต้องเดินมาดูด้วยความสงสัยถึง สอง-สามรอบเพราะจะคงเห็นว่าทำไมพวกเราจึงมากันมากมายก่ายกองเช่นนี้
..
และ..อาจจะเป็นด้วยว่าหน้าตาพวกเรา
ออกไปทางกระเหรี่ยงตกงาน หรือ ไม่ก็เป็นพวก
“โรฮิงญา”ที่รอความช่วยเหลือจากรัฐบาลให้ช่วยส่งกลับภูมิลำเนา..จะ มองมุมนี้ก็ย่อมได้
แต่..แหมพวกเรามากินก็เสียตังค์
ไม่ได้ไปนั่งกันฟรี..มาเพื่ออุดหนุน เจ้าของสถานที่น่าจะภูมิใจ เพราะพื้นที่ตรงนี้อยู่ระหว่างกึ่งกลางสำหรับการไปมาหาสู่ในการนัดพบสดวกที่สุด
ผมมีโอกาสไปแล้วสองครั้ง..สนุกมาก..
อื้อฮือ..เพื่อนฝูงน้องพี่นักดนตรีทั้งนั้น
เข้ามาทักทายเจี๊ยวจ๊าวกันไปหมด
คุยกันอย่างสนุกสนานเสียงดังลั่นอิ่มใจจนกินอะไรไม่ลง
“เฮ้ย ชัย
ได้ข่าวว่าแกมีลูกชายสี่คนเชียวเร๊อะ”..กล ภาคสุวรรณ คลิฟ เมืองไทยที่นั่งโต๊ะเดียวกันถาม
ผมพยักหน้ารับก่อนที่จะตอบว่า..
“ช่าย..เอาเป็นว่าขนาดคนข้างบ้านเค้าเรียกบรรดาลูกๆว่า
โฟร์แจ็ค เชียวนะ”
“เฮ้ย
แล้วลูกเอ็งเรียนอะไรกันมั่งวะ” เสียงเพื่อนจากข้างหลังถามสอดขึ้นมา
ผมนั่งไล่เรียงลำดับการเรียนของลูกๆให้เพื่อนฟัง
“ลูกคนแรกจบปริญญาตรีสาขาเศรษฐศาสตร์..ไอ้คนที่สองมัน
จบ MBA”
เรียกเสียงฮือฮาซี๊ดออกปากจากเพื่อนๆเหมือนกินของเผ็ดจัด แล้วผมกล่าวต่อ
“ส่วนไอ้คนที่สามเพิ่งจบด็อกเตอร์
มาหมาดๆนี่เอง”
คราวนี้ฮือกันทั้งโต๊ะ..
“แล้วคนเล็กล่ะ”..คลิฟ
เมืองไทยถามต่ออีก
ผมทำท่าคิดอยู่ซักครู่จึงเอ่ย
“อ๋อ..ไอ้คนเล็กนี่มันเป็นโจรลักเล็กขโมยน้อยว่ะ”
ทีนี้เสียงของบรรดาเพื่อนๆกลายเป็นนกกระจอกแตกรังไปแล้ววิจารณ์กันแซ่ด
“อ้าวเฮ้ย ในเมื่อมันทำตัวเป็นแกะดำเสียชื่อตระกูลอย่างนี้..ทำไมเอ็งไม่ไล่มันออกจากบ้านวะ”
ผมยกแก้วน้ำเปล่าขึ้นมาซดก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงเรียบๆช้าๆ
“จะไล่ยังไงล่ะ
ก้อมันหาเงินเลี้ยงดูอยู่คนเดียว ที่เหลือตกงานหมด”
“อ้าว..เชี่ยเอ๊ย”..หลายคนพูดเหมือนนัดกัน
“เอางี้..คราวหน้ากูจะพาไอ้ลูกชายคนเล็กติดมาด้วย
แต่พวกเอ็งระวังนาฬิกากับ กระเป๋าตังค์ไว้ให้ดีแล้วกัน”
“ไม่ต้อง”!!
พร้อมเพรียงชัดเจนหนักแน่นกลมกลืนเหมือนนักดนตรีประสานเสียงคีย์เดียวกัน
******
Blogger Comment
Facebook Comment