ผ่านไปแล้วปีใหม่ด้วยความชื่นมื่น..สนุกสนานกันตามประเพณีและต่อไปนี้ก็เป็นการกลับเข้ามาสู่วังวนเหมือนเดิม
คือ..
ปั้นหน้ายักษ์มารเข้าใส่กัน
แบ่งแยกแตกสีเป็นฝัก-เป็นฝ่ายเพื่อที่จะเอาชนะคะคานกัน..จนกว่าฝ่ายตรงข้ามล้มหายตายจากไป
ไม่น่าเชื่อจากสิบปีที่ผ่านมาสิ่งดีๆ
ของ”คนไทย”อันเป็นคุณสมบัติที่ติดตัวกันมาสมัย ปู่ ย่า
ตา ยาย เมื่อครั้งโบรานกาลโน่น..ได้หลุดทิ้งหายไป
นั่นคือการ ”ขอโทษ” และการ ”ให้อภัย” กัน
ดังนั้นเราควรจะกลับมาเริ่มต้นกันใหม่ด้วยการพูดคำว่า”ขอโทษ”ให้ติดปาก..เพราะคำนี้ไพเราะเสนาะหูแก่ผู้ที่ได้รับฟังเป็นอย่างมาก
แถมยังมีเสน่ห์ผสมความน่ารักแก่ผู้พูดเป็นอย่างยิ่ง
ส่วนการ”ให้อภัย”นั้น จะเป็นคุณอย่างยิ่งสำหรับผู้ให้มากกว่าผู้รับ
พระพุทธองค์
ทรงกล่าวไว้ว่าการให้ ”อภัยทาน” เป็นทานที่สูงสุดของชาวพุทธ..สูงกว่า ”ธรรมทาน” และ ”วิหารทาน” อันเป็นที่สุดของการให้ทาน
ที่สำคัญคือสามารถทำได้โดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายหรือบริจาคทรัพย์สินเพื่อสร้างสิ่งต่างๆเหมือนการทำทานทั่วไป
แต่..ผู้ที่ให้ ”อภัยทาน” นั้นต้องให้ด้วยความจริงใจและมีจิตอันบริสุทธิ์
ซึ่งจะไม่ต้องมาใช้ หนี้เวร-หนี้กรรม ที่ต้องเกี่ยวพันข้ามภพ-ข้ามชาติกันอีกต่อไป
ถ้ารักษาศีล 5 อย่างมั่นคงไปด้วยก็ยิ่งดี..เพราะศีลแปลว่า”ปกติ”ในสมัยพุทธกาลผู้คนจะมี ”ศีล5” กันเป็นนิจสินซึ่งจัดอยู่ในประเภท ”มนุษย์ธรรม”
คำว่า ”มนุษย์” คือเป็นผู้ที่มีใจประเสริฐและเป็นปกติ..บุคคลที่
ไม่มีศีล5 จึงไม่ถูกเรียกว่า ”มนุษย์” แต่จะใช้คำแทนว่า”คน”ซึ่งแปลว่า”ยุ่ง”
บ้านเราที่วุ่นวายยุ่งเหยิงเพราะว่ามีคนมากกว่ามนุษย์และไม่มีการควบคุมจิตใจ
จึง”ขอโทษ”กันไม่ได้และ”ให้อภัย”กันไม่เป็น
เครดิตภาพจาก : google
หนุ่มชิงชัย
Blogger Comment
Facebook Comment